สัปดาห์ที่แล้วไปจัดนิทรรศการที่สุโขทัย 18-20 มีนาคม แต่ก่อนเดินทางที่กรุงเทพมีฝนตกหนัก ตรวจสอบกับหลาย ๆ พื้นที่ที่มีคนรู้จักก็ไม่มีฝนที่สุพรรณบุรี นครราชสีมาแต่ไม่ได้ถามทางสุโขทัย ปรากฏว่าเดินทางไปกับฝนตลอดทาง เดิมกะว่าจะแวะดูพื้นที่มันสำปะหลังแถวขารุวรลักษณบุรีก่อนเพราะได้ข่างจากพี่อัมพรว่ามีผู้แจ้งข่าวเกี่ยวกับเพลี้ยแป้งระบาดในมันอย่างกว้างขวาง แต่จากประสบการณ์ที่ไปทำงานในพื้นที่กำแพงบ่อย ๆ น่าจะเป็นเพลี้ยแป้งสีเทามากกว่า เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาพบเพลี้ยแป้งสีชมพูน้อยมากเนื่องพื้นที่กำแพงเพชรมีการนำแตนเบียนไปปล่อยจำนวนมากในปัที่ผ่านมา เฉพาะทีมตัวเองก็หลายพันคู่ และยังที่สมาคมผู้ประกอบการมันฯได้รับจากมูลนิธิมันสำปะหลังแห่งประเทศไทยอีกหลายพันคู่ และพบว่ามีการปรับตัวได้ดีอยู่รอดในสภาพธรรมชาติ แม้ว่าบางช่วงสภาพอากศจะไม่เอื้ออำนวยทั้งแล้งมาก ร้อนมาก ฝนตกมาก ครบรส ก่อนหมดฝนก็พบเพลี้ยแป้งสีเขียวมาก แต่ก็พบแตนบี้ยท้องถิ่นจำนวนมากมาย แต่ช่วงเดือนกุมภาพันธุ์สีเขียวน้อยลง สีเทามากขี้น และพบสีชมพูตัวอ้วน ๆ น่ากินแต่จำนวนไม่มาก สัดส่วนช่วงนี้ต้องยอให้สีเทากินขาด ขนาดเกาะที่ยอด และมีน้ำหวานเยิ้ม
ถ้าฝนมากขนาดนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจในการควบคุมเพลี้ยแป้ง ฝนช่วยลดประชากรได้แน่นอน แต่ก็อยากไปดูพื้นที่จริง ๆ ยืนยันอีก
สภาพอากาศช่วงนี้ถ้าจะให้อธบายเหตุน่าจะมาจากสึนามิด้วยเพราะมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางการเคลื่อนที่ของมวลที่เป็นของเหลวและอากาศ เราจึงพบสภาพอากาศที่โหดร้าย หนาวจัดกว่าฤดูหนาวปีนี้ของบ้านเรา
ฝนตกถล่มถลายนี่ฤดูฝนมาถึงแล้วหรือ หากคิดตามเงื่อนไงที่ใช้กำหนดกากมาของฤดูฝนก็ต้องบอกว่าฝนมาแล้ว
พูดถึงสุโขทัยที่ไปจัดงานเย็นวันที่ 17 ฝนตกอากาศหนาวเย็นมาก แต่หลายคนก็หวังว่าวันรุ่งขึ้นฝนคงหยุด แต่ละหน่วยงานก็จัดนิทรรศการก็เสร็จวันนั้น กลับไปพักผ่อน รุ่งเช้ามาน้ำฝนขังสวนสวนของบางหน่วยงานก็ลอยไปกับน้ำ เจ้าภาพระดมสูบน้ำเพราะน้ำสูงประมาณครึ่งน่อง ฝนก็ตกพรำ ๆ ยังไม่หยุด พอสาย ๆ ก็ยุบ ฝนหยุด ทั้งคนมาเที่ยวงานและคนจัดงานต้องหาซื้อรองเท้าบูทมาใส่ เพราะเละไปทั้งงาน คนจัดก็ใจสู้ไม่ถอยต้องขอชมเชย สอพ. สปผ.ที่ทีมงานยังอยู่ในบูทอย่างเข็มแข็ง บ่ายแล้วก็ยังอยู่เต็มทีม ...หลวมตัวมาแล้วก็ต้องทำให้สมบรูณ์ แต่หลาย ๆ บูทก็พักยกแล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่รวมทั้งทีมเรมด้วย พอเจ้าภาพแสดงความจำนงว่าไม่ต้องอยู่ช่วยก็ได้เลยตัดสินใจกลับมาเลย
มอบมรดกทั้งระบบงานบนเว็บลงไว้ในเครื่องคอมพิมเตอร์ของสุโขทัย และโปสเตอร์ แผนที่ต่าง ๆ ให้โนไปจะเจ้าของพื้นที่จะได้นำไปใช้ประโยชน์ได้ การใช้พันธุ์มันสำปะหลังให้เหมาะสมกับพื้นที่ปันี้เป็นงานที่ยอดหิดมาก ทำข้อมุลให้ไม่ทัน ทั้งส่วนที่อยากนำไปเผยแพร่ในรูปเอกสารและดำเนินโครงการต่อเนื่อง
วันนี้ฝนตกตั้งแต่เช้าตรู่ มาทำงานกันไม่ได้บ้าง สายบ้าง ขนาดบ้านที่อยู่น้ำยังขังระบายไม่ทัน หลังจากเกข้อมูลปริมาณฝน 90 มม. เลยนึกถึงโคราชเพราะพรุ่งนี้จะจัดงานใหญ่ เสียดายที่ไปไม่ได้แต่ส่งคนไปช่วยก็หวั่น ๆ ว่าจะมีฝนหรือเปล่า ยังไงเสียอย่าให้ฝนตกเป็นอุปสรรค์ก็แล้วกัน
วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554
ข้อสังเกตเกี่ยวกับภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง
ในช่วงปีที่ผ่านมาและปีนี้เราคงสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงต่างๆของพืชที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศ ปี 2552/33 แห้งแล้งรุนแรงจนมันสำปะหลังที่เคยปลูกไม่ต้องดูแลมากมาเพิ่มค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสารป้องกันกำจัดแมลง เพื่อจัดการกับเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีขมพู แต่ความแห้งแล้งก็ยาวนานกระทบฤดูฝนปี 53 ทำให้ช่วงต้นฝนไม่มีน้ำพอสำหรับการปลูกพืช มันสำปะหลังก็เห็นได้ชัดเจนว่าถ้าเกษตรกรตั้งใจจะปลูกต้นฝนก็ไม่ได้ปลูก ปลูกแล้วก็ต้องปลูกอีกเพราะว่าไม่งอก พอปลายฝนก็ตกกระหน่ำ แต่ก็ดีได้ประโยชน์เกี่ยวกับการควบคุมเพลี้ยแป้ง จนกระทั้งบัดนี้ยังไม่มีรายงานเสียหายเกี่ยวกับเพลี้ยแป้งสีชมพู
พืชอื่น ๆ ก็อยากให้คนที่ทำงานลองมาช่วยกันบันทึกเรื่องราวที่ท่านสังเกตุได้ โดยเขียนในส่วนแสดงความคิดเห็น เช่น ปี 53 เรายังไม่ได้กินมะม่วงเลยก็หมดแล้ว ปีนี้มะม่วงที่ออกก่อนก็ออกไปแล้วแต่ส่วนที่เป็นดอกชุดใหญ่ยังไม่ออก ข้อสังเกตุนี้จะได้จากสุพรรณบุรี กำแพงเพชรเป็นหลัก
พืชอื่น ๆ ก็อยากให้คนที่ทำงานลองมาช่วยกันบันทึกเรื่องราวที่ท่านสังเกตุได้ โดยเขียนในส่วนแสดงความคิดเห็น เช่น ปี 53 เรายังไม่ได้กินมะม่วงเลยก็หมดแล้ว ปีนี้มะม่วงที่ออกก่อนก็ออกไปแล้วแต่ส่วนที่เป็นดอกชุดใหญ่ยังไม่ออก ข้อสังเกตุนี้จะได้จากสุพรรณบุรี กำแพงเพชรเป็นหลัก
วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554
วันหยุดปีใหม่ปีกระต่าย
ได้หยุดยาว ๆ และหยุดทำงานจริงๆ พักผ่อนหลังจากตรากตรำทรมานร่างกายมาหลายเพลา กลับบ้านสุพรรณ ปีนี้จัดว่าหนาวมาก ทำให้ไม่อยากไปที่ที่หนาวเลยเพราะว่าจะเป็นการทรมานร่างกาย ที่บ้านมะปรางเริม่ออกดอก และดอกบาน มะม่วงที่ดิดผลขนาดนิ้วมือเริ่มมีให้เห็นปีนี้มะม่วงออกก่อนฤดูมาก ส่วนฤดุของเขาจริง ๆ ไม่แน่ใจว่าจะถึงเมื่อไร จำได้ว่าฝนตกมาห่าใหญ่ช่วงธันวาคม ก็เป็นฝนชะช่อมะม่วงไปด้วย อาจเป้นสาเหตุหนึ่งที่ทำให่มะม่วงที่บ้านติดมากกว่าทุกปี เพลี้ยจั๊กจั้นมะม่วงก็ยังไม่หมดยังคงหลบอยุ่ตามพุ่มใบมะม่วง ขนุุนเริ่มแก่เก็บได้
ก่อนปีใหม่ไปพื้นที่แถวกำแพงเพชร มันสำปะหลังอีกตามเคย ปีนี้หลายไร่ยังไม่เก็บผลผลิต เนื่องจากรอราคาให้เป้นที่พอใจ หากจะให้ประเมินผลผลิต ปีนี้ไม่เสียหายเหมือนปีที่แล้วที่โดยเพลี้ยแป้งทำลาย การปล่อยแตนเบียนควบคุมได้ผล ประกอบกับสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยช่วยได้มาก การอดทนจนผ่านช่วงแล้งที่ยาวนานในต้นปีเป็นช่วงที่ต้องผ่านแรงกดดันมาก
ปัญหาที่น่าจะเป้นข้อสรุปได้ชัดเจนคือ
1. การรู้จักแมลงศัตรู เกษตรกรจำนวนมากแยกไม่ออกว่าแมลงที่เป็นคืออะไร อะไรก็เหมารวมไปหมดทำให้ไม่รู้สถานการณืทีีเป็นจริง หรือมีการใช้สารเคมีป้องกันเนื่องจากใข้ประสบการณืในอดีตมาตัดสินใจ ทั้ง ๆ ที่ปีนี้เพลี้ยแป้งสีชมพูน้อยมาก
2. ควรให้เกษตรกรได้รู้จักศัตรูธรรมชาติ หลายแปลงที่พบในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงหลังฝนแมลงศัตรูธรรมชาติมาก ที่มีบทบาทมากในช่วงที่ผ่านมาคือ แตนเบียนท้องถิ่น เขามีลักษณะที่ชัดเจนคือ มีสีเหลือง เคลื่อนที่เร็ว เบียนเพลี้ยแป้งสีเขียว และยังพบแตนเบียนเพลี้ยแป้งสีชมพูอยู่ ที่ยอดมาเลยคือเขาสามารถผ่านช่วงที่มีอาหารน้อยมาก และฝนที่ตกหนักมาได้
3. การใช้สารเคมีที่ฟุ่มเฟีอย เกษตรกรคิดว่าการใช้สารเคมีเป้นทางออกที่ดีที่สุด แต่จริงๆ แล้วทำให้การควบคุมโดยธรรมชาติถูกทำลาย หลังฝนตกหนักสัก 1 สัปดาห์ หากไปดูแปลงที่เดิมเราเคยเห็นมีเพลี้ยอยู่ใต้ใบเต็มไปหมด จะมีลักษณะเป็นซากดำ ๆ แห้ง ๆ มีเกษตรกรรายหนึ่งบอกว่าเขาเพิ่งฉีดยาก่อนฝนตก 1 วัน และรู้สึกดีใจว่าการควบคุมได้ผล หากพิจารณาโดยชัดเจนแล้วการฉีดพ่นครั้งนั้นไม่ได้ผลหรือมีผลทำกับไม่ได้ทำอะไรเลย
"ต้องใจแข็ง" การปลูกมันสำปะหลังในปีพศ.นี้ไม่ต้องกังวลคอยฉีดยา การชุบท่อนพันธุ์ยังจำเป็น การใช้ยาฆ่าแมลงระหว่างปลูกไม่มีความจำเ ป็น ปล่อยให้แมลงศัตรูธรรมชาติควบคุมกันเอง เราจะได้ไม่ต้องเจอบทเรียนราคาแพงที่ยาฆ่าแมลงอะไรก็เอาเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในนาข้าวไม่อยู่
ก่อนปีใหม่ไปพื้นที่แถวกำแพงเพชร มันสำปะหลังอีกตามเคย ปีนี้หลายไร่ยังไม่เก็บผลผลิต เนื่องจากรอราคาให้เป้นที่พอใจ หากจะให้ประเมินผลผลิต ปีนี้ไม่เสียหายเหมือนปีที่แล้วที่โดยเพลี้ยแป้งทำลาย การปล่อยแตนเบียนควบคุมได้ผล ประกอบกับสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยช่วยได้มาก การอดทนจนผ่านช่วงแล้งที่ยาวนานในต้นปีเป็นช่วงที่ต้องผ่านแรงกดดันมาก
ปัญหาที่น่าจะเป้นข้อสรุปได้ชัดเจนคือ
1. การรู้จักแมลงศัตรู เกษตรกรจำนวนมากแยกไม่ออกว่าแมลงที่เป็นคืออะไร อะไรก็เหมารวมไปหมดทำให้ไม่รู้สถานการณืทีีเป็นจริง หรือมีการใช้สารเคมีป้องกันเนื่องจากใข้ประสบการณืในอดีตมาตัดสินใจ ทั้ง ๆ ที่ปีนี้เพลี้ยแป้งสีชมพูน้อยมาก
2. ควรให้เกษตรกรได้รู้จักศัตรูธรรมชาติ หลายแปลงที่พบในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงหลังฝนแมลงศัตรูธรรมชาติมาก ที่มีบทบาทมากในช่วงที่ผ่านมาคือ แตนเบียนท้องถิ่น เขามีลักษณะที่ชัดเจนคือ มีสีเหลือง เคลื่อนที่เร็ว เบียนเพลี้ยแป้งสีเขียว และยังพบแตนเบียนเพลี้ยแป้งสีชมพูอยู่ ที่ยอดมาเลยคือเขาสามารถผ่านช่วงที่มีอาหารน้อยมาก และฝนที่ตกหนักมาได้
3. การใช้สารเคมีที่ฟุ่มเฟีอย เกษตรกรคิดว่าการใช้สารเคมีเป้นทางออกที่ดีที่สุด แต่จริงๆ แล้วทำให้การควบคุมโดยธรรมชาติถูกทำลาย หลังฝนตกหนักสัก 1 สัปดาห์ หากไปดูแปลงที่เดิมเราเคยเห็นมีเพลี้ยอยู่ใต้ใบเต็มไปหมด จะมีลักษณะเป็นซากดำ ๆ แห้ง ๆ มีเกษตรกรรายหนึ่งบอกว่าเขาเพิ่งฉีดยาก่อนฝนตก 1 วัน และรู้สึกดีใจว่าการควบคุมได้ผล หากพิจารณาโดยชัดเจนแล้วการฉีดพ่นครั้งนั้นไม่ได้ผลหรือมีผลทำกับไม่ได้ทำอะไรเลย
"ต้องใจแข็ง" การปลูกมันสำปะหลังในปีพศ.นี้ไม่ต้องกังวลคอยฉีดยา การชุบท่อนพันธุ์ยังจำเป็น การใช้ยาฆ่าแมลงระหว่างปลูกไม่มีความจำเ ป็น ปล่อยให้แมลงศัตรูธรรมชาติควบคุมกันเอง เราจะได้ไม่ต้องเจอบทเรียนราคาแพงที่ยาฆ่าแมลงอะไรก็เอาเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในนาข้าวไม่อยู่
วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ฝนตกเดือนธันวาคม
ฝนตกเดือนธันวาคม เมื่อวันจันทร์ที่ 13 ฝนตกหนักตอนเช้ามืด วันนั้นหลายคนไปทำงานสาย นับว่าแปลกมากอากาศที่เปลี่ยนไป แต่ก็ไม่แค่นี้วันที่ 16 ก็ตกซ้ำอีกตอนเย็น
วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เพลี้ยแป้งมันสำปะหลังยังวนเวียนอยู่...ยังไม่วางใจ
ให้โอ๋ไปสำรวจเพลี้ยที่ระยอง เนื่องจากการสำรวจเดือนก่อนพบเพลี้ยแป้งสีชมพูขนาดที่ทำให้ยอดหงิก จากแปลงรวบรวมพันธุ์อายุมันประมาณ 2 เดือน พบวัชพืชมาก ต้นมีการเจริญเติบโตดีพบอาการแตกเป็นพุ่มแจ้บ้างเป็นบางต้น จากการสุ่มตัวอย่าง 50 ต้น พบอาการยอดหงิก 1 ต้น ในพันธุ์ระยอง 60 ซึ่งในยอดหงิกพบว่ามีเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีชมพู พบทั้งในระยะถุงไข่ ตัวอ่อน และตัวเต็มวัย ส่วนเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังอื่น ๆ ไม่พบว่ามีการระบาด โดยเฉพาะเพลี้ยแป้งสีเขียวซึ่งมีปริมาณลดลงอย่างมากจากครั้งที่สำรวจเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2553 และพบแมลงศัตรูอื่น ๆ ของมันสำปะหลัง เช่น แมลงหวี่ขาวแต่พบในปริมาณน้อย นอกจากนี้ยังพบแตนเบียนเพลี้ยแป้งสีชมพูตัวเมีย 1 ตัว


แปลงทดสอบของอ.สุเทพ ต้นมันสำปะหลังไม่สม่ำเสมอกัน วัชพืชมาก และพบลักษณะอาการยอดหงิกหลายต้น ซึ่งในยอดหงิกพบเพลี้ยแป้งสีชมพู พบทั้งในระยะถุงไข่ ตัวอ่อน และตัวเต็มวัยเป็นจำนวนมาก โดยต้นที่แสดงอาการยอดหงิกนั้นจะพบเพลี้ยแป้งสีชมพูเข้าทำลายทุกยอดจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง ทราบว่าไม่มีการปล่อยแตนเบียนเพลี้ยแป้งสีชมพูแล้ว ส่วนที่พบแตนเบียนเป็นแตนเบียนที่ปล่อยในครั้งก่อน ๆ ซึ่งจะพบในแปลงเฉลี่ยประมาณ 1 – 7 ตัว มีข้อสังเกตุเกี่ยวกับแปลงที่พบเพลี้ยแปลงนี้ และการไม่พบในแปลงอื่นๆ ประกอบกับการตรวจสอบกับปริมาณน้ำฝนจากสมมติฐานเดิมน่าจะต้องมีประเด็นอื่น เพิ่มเติมเช่น การดื้อยา กลไกลภายในของพืชเอง
วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553
กันยายนเดือนที่มีแสนเม็ดฝน
จากต้นปีที่ผ่านมาพวกเราต้องผ่านช่วงแห้งแล้งที่ยาวนาน แต่ก็ไม่กี่เดือนโดยเฉพาะเดือนกันยายนนี้ฝนมามากเหลือเกิน บางพื้นที่ก็เป็นผลดีบางที่ก็ดูโหดร้าย พืชก็ฉ่ำน้ำ เกษตรกรรู้ว่าช่วงที่ดินเปียกอย่างนี้ก็จะไม่ไปเหยียบย่ำไร่ เพราะจะไม่ดีต่อต้นพืช
มาถึงช่วงนี้ได้มีโอกาสดีที่ได้พบปะเกษตรกรที่ทำมันสำปะหลังจำนวนมาก ในเวลาอันสั้นๆ ด้วยการไปอบรมในโครงการกระจายพันธุ์ดีและท่อนพันธุ์มันสะอาด ซึ่งไปมา 2 แห่งแล้ว ยังคงเหลืออีก 2 แห่ง แต่ เราเหลืออีกครั้งเดียว เนื่องจากการใช้งบประมาณปลายปี ที่ทำให้การเดินทางไกลๆ มีปัญหา และโชคดีมากที่มีพี่ ๆ ที่เก่ง ๆ สามารถบรรยายได้ดี หรือดีกว่า และมีประสบการณ์ในการบรรยายกับเกษตรกรมากกว่า การอบรมเกษตรกรนับว่าค่อนข้างยาก ไม่มั่นใจว่าเกษตรกรฟังรู้เรื่อง เข้าใจ หรือคัดค้านอย่างไรบ้าง ผ่านมา 2 ครั้งก็พยายามพูดคุยกับผู้ฟังบ้างเมื่อมีโอกาศ เกษตรกรส่วนใหญ่กลัวไมค์ ก็เหมือนกับเรานั้นแหละเวลาไปเข้ารับอบรม ชอบคุยในกลุ่มของตนมากกว่า เกษตรกรรุ่นใหม่เดี่ยวนี้กระตือรือร้นมาก สนใจพัฒนาเทคนิคการผลิตของตน และยังมีน้ำใจแบ่งปันกับเพื่อเกษตรกรด้วยกัน แต่บางเทคนิดก็เฉพาะพื้นที่มาก อย่างกับการเตรียมดินก็มีเทคนิคที่จะเตรียมดินอย่างไรให้มันสำปะหลังเติบโตดี ไม่เตรียมดินขณะดินแห้ง หรือแฉะเกินไป ดินจะสามารถเก็บความชื้นในช่วงแรก และโครงสร้างของดินจะดีทำให้การเติบโตในช่วงแรกดี
มาถึงช่วงนี้ได้มีโอกาสดีที่ได้พบปะเกษตรกรที่ทำมันสำปะหลังจำนวนมาก ในเวลาอันสั้นๆ ด้วยการไปอบรมในโครงการกระจายพันธุ์ดีและท่อนพันธุ์มันสะอาด ซึ่งไปมา 2 แห่งแล้ว ยังคงเหลืออีก 2 แห่ง แต่ เราเหลืออีกครั้งเดียว เนื่องจากการใช้งบประมาณปลายปี ที่ทำให้การเดินทางไกลๆ มีปัญหา และโชคดีมากที่มีพี่ ๆ ที่เก่ง ๆ สามารถบรรยายได้ดี หรือดีกว่า และมีประสบการณ์ในการบรรยายกับเกษตรกรมากกว่า การอบรมเกษตรกรนับว่าค่อนข้างยาก ไม่มั่นใจว่าเกษตรกรฟังรู้เรื่อง เข้าใจ หรือคัดค้านอย่างไรบ้าง ผ่านมา 2 ครั้งก็พยายามพูดคุยกับผู้ฟังบ้างเมื่อมีโอกาศ เกษตรกรส่วนใหญ่กลัวไมค์ ก็เหมือนกับเรานั้นแหละเวลาไปเข้ารับอบรม ชอบคุยในกลุ่มของตนมากกว่า เกษตรกรรุ่นใหม่เดี่ยวนี้กระตือรือร้นมาก สนใจพัฒนาเทคนิคการผลิตของตน และยังมีน้ำใจแบ่งปันกับเพื่อเกษตรกรด้วยกัน แต่บางเทคนิดก็เฉพาะพื้นที่มาก อย่างกับการเตรียมดินก็มีเทคนิคที่จะเตรียมดินอย่างไรให้มันสำปะหลังเติบโตดี ไม่เตรียมดินขณะดินแห้ง หรือแฉะเกินไป ดินจะสามารถเก็บความชื้นในช่วงแรก และโครงสร้างของดินจะดีทำให้การเติบโตในช่วงแรกดี
วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ระบบเกษตรแห่งชาคิ หาดใหญ่
เป็นครั้งแรกที่มาร่วมงานระบบเกษตรแห่งชาติ ที่จริงแล้วก็อยากมาร่วมตั้งแต่ปีที่แล้วที่อุบล แต่ติดงานอะไร จำไม่ได้จึงไม่ได้ไป ปีนี้ก็ไม่ได้เตรียมตัวเลยไม่ได้ส่งเรื่องเข้าร่วมนำเสนอ จึงทำโปสเตอร์มาแลดง 2 เรื่ิองเกี่ยวข้องกับการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และดัชนี้ชี้วัดความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีคนสนใจและอยากแลกเปลี่ยนข้อมูลด้วย ก็ถือว่าเป็นโอกาศดีที่ให้คนที่ทำงานด้านที่แตกต่างกันและอยากเติมเต็มส่วนที่ขาด หรือต้องการให้ก้าวหน้าไปอีก เป็นข้อดีการจัดประชุมระดับชาติ งานนี้เราก็ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้เต็ม ๆ และยังเห็นว่ามีกลุ่มคนที่อยากแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้อยู่พอควร อาจารย์ท่านหนึ่งที่สงขลาบอกว่ายางพาราทางภาคใต้ปีนี้ได้รับผลกระทบมาก เพราะปีนี้แล้งยาว ฝนมาก็หนัก เราน่าจะนำมาพยากรณ์ผลผลิตได้ ไม้ผลก็เช่นกันเราจะได้แลกเปลี่ยนกับหน่วยงานภายนอกที่เต็มใจ
การประชุมวันที่ 2 มีการสรุปทิศทางการพัฒนางานด้านระบบเกษตรและจะผลักดันให้เกิดผลกระทบในวงกว้างได้อย่างไร ในมุมองของตัวเองก็เห็นพัฒนาการทั้งโครงสร้างขององค์กรอย่างกรมวิชาการเกษตร สถาบันการศึกษา งานวิจัยที่นำเสนอเปลี่ยนไปตามเวลา ช่วงนี้เรียกได้ว่าฟุ้งกระจายมาก แนวทางในการคิดเชิงระบบในงานวิจัยของกรมวิชาเกษตรมีน้อย ปัญหาหลัก ๆ น่าจะอยู่ที่การส่งผ่านความรู้ในการวิจัยทางด้านนี้ ขาดการจัดการความรู้ ระบบการเสนองานวิจัยยังยึดติดกับระบบงานทดสอบในพื้นที่มากกว่าการศึกษาเชิงระบบ ยังไม่มีรูปแบบการทำงานวิจัยกับเกษตรกรที่เป็นที่ยอมรับ คงต้องพยายามผลักดันต่อไป
การประชุมวันที่ 2 มีการสรุปทิศทางการพัฒนางานด้านระบบเกษตรและจะผลักดันให้เกิดผลกระทบในวงกว้างได้อย่างไร ในมุมองของตัวเองก็เห็นพัฒนาการทั้งโครงสร้างขององค์กรอย่างกรมวิชาการเกษตร สถาบันการศึกษา งานวิจัยที่นำเสนอเปลี่ยนไปตามเวลา ช่วงนี้เรียกได้ว่าฟุ้งกระจายมาก แนวทางในการคิดเชิงระบบในงานวิจัยของกรมวิชาเกษตรมีน้อย ปัญหาหลัก ๆ น่าจะอยู่ที่การส่งผ่านความรู้ในการวิจัยทางด้านนี้ ขาดการจัดการความรู้ ระบบการเสนองานวิจัยยังยึดติดกับระบบงานทดสอบในพื้นที่มากกว่าการศึกษาเชิงระบบ ยังไม่มีรูปแบบการทำงานวิจัยกับเกษตรกรที่เป็นที่ยอมรับ คงต้องพยายามผลักดันต่อไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)